
ตั้งครรภ์มีเลือดออกช่องคลอดไม่ปวดท้อง เสี่ยงภาวะแท้งคุกคามไหม
คู่มือคุณแม่มือใหม่ สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ พร้อมเคล็ดลับดูแลตัวเอง
บทความ
ต.ค. 29, 2025
10นาที
คำถามที่พบบ่อย
หากมีภาวะแท้งคุกคามแล้วเลือดหยุดไหล จะตั้งครรภ์ต่อได้อย่างปลอดภัยหรือไม่?
การที่เลือดหยุดไหลถือเป็นสัญญาณที่ดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยค่ะ โดยจากสถิติพบว่าประมาณ 50% ของภาวะแท้งคุกคามจะลงเอยด้วยการแท้งจริง เนื่องจากสาเหตุที่ตัวอ่อนเสียชีวิตไปตั้งแต่แรก ซึ่งมักเป็นภาวะครรภ์ไข่ลม แต่ในอีก 50% ที่เหลือ หากตัวอ่อนยังมีชีวิตอยู่และได้รับการดูแลอย่างดีจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เลือดที่ออกจะค่อย ๆ น้อยลงและมีโอกาสตั้งครรภ์ต่อไปได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากอายุครรภ์เกิน 8 สัปดาห์และสามารถตรวจพบการเต้นของหัวใจทารกได้ด้วยอัลตราซาวด์ โอกาสที่จะตั้งครรภ์ต่อจนสำเร็จจะเพิ่มสูงถึง 95% เลยทีเดียวค่ะ
การมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์ ต้องนอนติดเตียง (Bed Rest) เสมอไปหรือไม่?
หากคุณแม่มีเลือดออกมาก ควรไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจเช็กอาการอย่างใกล้ชิด แพทย์จะคอยติดตามสัญญาณชีพและระดับความเข้มข้นของเลือด หากอาการไม่ดีขึ้นหรือเกิดการแท้งจริง แพทย์อาจพิจารณายุติการตั้งครรภ์ได้ค่ะ
ขณะเดียวกัน การดูแลตัวเองก็สำคัญมาก แพทย์จะแนะนำให้คุณแม่ พักผ่อนให้มากที่สุด หรือที่เรียกว่า bed rest และ งดกิจกรรมที่ต้องใช้แรง หรือ activity restrictions ที่อาจกระทบกระเทือนบริเวณท้องน้อย รวมถึงงดออกกำลังกายและการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีเลือดออก มีการศึกษาพบว่าการพักผ่อนแบบติดเตียง อาจไม่ได้ช่วยลดอัตราการแท้งโดยตรงในทุกกรณี แต่ก็มีส่วนสำคัญในการช่วยลดความเครียดและความกังวลใจของคุณแม่ได้เป็นอย่างดีค่ะ
จะแยกความแตกต่างระหว่าง "เลือดล้างหน้าเด็ก" กับ "เลือดประจำเดือน" ได้อย่างไร?
การแยกความแตกต่างระหว่างเลือดทั้งสองชนิดอาจดูเป็นเรื่องยากในตอนแรก แต่คุณแม่สามารถสังเกตจากลักษณะที่แตกต่างกันได้ง่าย ๆ ค่ะ
- ปริมาณและสี: เลือดล้างหน้าเด็ก จะมีปริมาณน้อยกว่าและมีสีจางกว่า ตั้งแต่สีชมพูอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาล ส่วนเลือดประจำเดือน จะมีปริมาณมากกว่าและมีสีแดงสดหรือแดงเข้ม
- ระยะเวลา: เลือดล้างหน้าเด็ก จะเกิดขึ้นเพียง 1-2 วันเท่านั้น แต่เลือดประจำเดือน จะมานานกว่าคือประมาณ 3-7 วัน
- อาการปวดท้อง: เลือดล้างหน้าเด็ก มักไม่ทำให้เกิดอาการปวดท้องที่รุนแรง ในขณะที่เลือดประจำเดือน อาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
การสังเกตความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้คุณแม่คลายความกังวลและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
สรุป
- เลือดออกช่องคลอดขณะตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่น่ากังวล โดยสาเหตุอาจแตกต่างกันไปตามช่วงอายุครรภ์ หากเกิดขึ้นในครึ่งแรกของการตั้งครรภ์ (น้อยกว่า 20 สัปดาห์) อาจเกิดจาก เลือดล้างหน้าเด็ก หรือ ภาวะแท้งคุกคาม แต่ถ้าเกิดขึ้นในครึ่งหลัง (มากกว่า 20 สัปดาห์) มักมีสาเหตุมาจากภาวะที่เกี่ยวกับรก เช่น รกเกาะต่ำ หรือ รกลอกตัวก่อนกำหนด
- อาการเลือดออกช่องคลอดขณะตั้งครรภ์ที่ควรพบแพทย์ทันที ได้แก่ เลือดออกเป็นสีแดงสดปริมาณมากและต่อเนื่อง มีลิ่มเลือดหรือเนื้อเยื่อปนออกมา ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรงจนร้าวไปถึงหลัง มีอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ ใจสั่น หรือมีไข้ร่วมด้วย สัญญาณเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและดูแลอย่างเร่งด่วนเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์
- ภาวะแท้งคุกคาม (Threatened abortion) คือสัญญาณเตือนที่พบในช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ โดยมีอาการหลักคือเลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งอาจเป็นเลือดสดหรือมูกเลือด และอาจมีอาการปวดท้องน้อยหรือปวดหลังร่วมด้วย
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- เลือดออกช่องคลอดขณะตั้งครรภ์ สาเหตุเพราะอะไร?
- เลือดออกช่องคลอดขณะตั้งครรภ์ สีเลือดบอกอะไรคุณแม่?
- อาการเลือดออกช่องคลอดแบบไหนที่ต้องไปพบคุณหมอทันที
- เจาะลึก "ภาวะแท้งคุกคาม" สาเหตุ อาการ และกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวัง
- เคล็ดลับดูแลครรภ์ให้แข็งแรงสมบูรณ์
เลือดออกช่องคลอดขณะตั้งครรภ์ สาเหตุเพราะอะไร?
เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วพบว่ามีภาวะเลือดออกช่องคลอดขณะตั้งครรภ์ ย่อมทำให้รู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมากใช่ไหมคะ? อาการนี้ไม่ใช่เรื่องปกติและไม่ควรละเลยโดยเด็ดขาด การทำความเข้าใจสาเหตุจะช่วยให้คุณแม่รับมือได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงทีค่ะ ซึ่งสาเหตุและความรุนแรงจะแตกต่างกันไป ดังนี้
1. เลือดออกในไตรมาสแรก (อายุครรภ์ 1-12 สัปดาห์)
ในไตรมาสแรกนี้ สาเหตุของการมีเลือดออกมักเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งที่ไม่อันตรายและที่ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ได้แก่
- เลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation Bleeding): เป็นอาการปกติที่พบได้บ่อย เป็นเลือดออกเพียงเล็กน้อย มีสีชมพูจาง ๆ หรือสีน้ำตาล เกิดจากการที่ตัวอ่อนฝังตัวเข้ากับผนังมดลูก มักเกิดขึ้นในช่วง 6-12 วันหลังการปฏิสนธิ และจะหายไปเอง
- การเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก: ในช่วงตั้งครรภ์ เลือดจะไหลเวียนมาเลี้ยงบริเวณปากมดลูกมากขึ้น ทำให้ปากมดลูกไวต่อการสัมผัส อาจมีเลือดออกเล็กน้อยหลังมีเพศสัมพันธ์หรือหลังการตรวจภายใน
- ภาวะแท้งคุกคาม (Threatened Miscarriage): คือการที่มีเลือดออกแต่ทารกยังเจริญเติบโตอยู่ อาจมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ หากได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอและดูแลอย่างเหมาะสม การตั้งครรภ์ก็มักจะดำเนินต่อไปได้
- ท้องลม (Blighted Ovum): คือภาวะที่ถุงการตั้งครรภ์เจริญขึ้นแต่ไม่มีตัวอ่อนอยู่ข้างใน มักมีเลือดออกกะปริบกะปรอย
- การแท้งบุตร (Miscarriage): เป็นภาวะที่ร่างกายขับเนื้อเยื่อจากการตั้งครรภ์ออกมา มักมีเลือดออกปริมาณมาก อาจมีลิ่มเลือดและอาการปวดท้องอย่างรุนแรงร่วมด้วย
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic Pregnancy): เป็นภาวะอันตรายที่ตัวอ่อนไปฝังตัวอยู่นอกมดลูก มักมีเลือดออกสีแดงสดหรือสีน้ำตาลเข้ม ร่วมกับอาการปวดท้องข้างใดข้างหนึ่งอย่างรุนแรง และอาจมีอาการหน้ามืดเป็นลมได้ ซึ่งต้องรีบไปพบคุณหมอทันที
หากคุณแม่พบว่ามีภาวะ เลือดออกช่องคลอดขณะตั้งครรภ์ ในไตรมาสแรกนี้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรแจ้งให้คุณหมอที่ดูแลครรภ์ทราบทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุและวางแผนการดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ค่ะ
2. เลือดออกในไตรมาสที่ 2 และ 3 (อายุครรภ์ 13-40 สัปดาห์)
การมีเลือดออกในครึ่งหลังของการตั้งครรภ์มักเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์โดยเร็ว สาเหตุที่พบได้บ่อย ได้แก่
- ริดสีดวงทวาร: เกิดขึ้นได้ขณะตั้งครรภ์ และเมื่อคุณแม่ถ่ายอุจจาระอาจมีเลือดออกปนออกมาด้วย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์โดยตรงค่ะ
- ภาวะรกเกาะต่ำ (Placenta Previa): เป็นภาวะที่รกเกาะอยู่ต่ำลงมาหรือปิดบริเวณปากมดลูก ทำให้มีเลือดออกช่องคลอดโดยไม่มีอาการปวดท้อง
- รกลอกตัวก่อนกำหนด (Placental Abruption): เป็นภาวะอันตรายที่รกลอกตัวออกจากผนังมดลูกก่อนคลอด ทำให้มีเลือดออกสีแดงสดปริมาณมากร่วมกับอาการปวดท้องรุนแรงและมดลูกแข็งเกร็ง
- ปากมดลูกเปิดก่อนกำหนด: อาจมีเลือดปนออกมากับมูกเลือด ซึ่งเป็นสัญญาณว่าปากมดลูกเริ่มเปิดก่อนเข้าสู่กระบวนการคลอด
หากคุณแม่พบว่ามีเลือดออกช่องคลอดขณะตั้งครรภ์ไม่ว่าจะปริมาณน้อยหรือมาก ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์นะคะ
เลือดออกช่องคลอดขณะตั้งครรภ์ สีเลือดบอกอะไรคุณแม่?
เมื่อพบว่ามี เลือดออกช่องคลอดขณะตั้งครรภ์ นอกจากปริมาณแล้ว "สีของเลือด" ยังสามารถเป็นสัญญาณเตือนเบื้องต้นที่ช่วยให้คุณแม่สังเกตความผิดปกติได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการรีบปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำและปลอดภัยที่สุดค่ะ
1. เลือดสีน้ำตาลหรือสีสนิม
สีของเลือดที่พบในช่วงแรกของการตั้งครรภ์และมักไม่เป็นอันตราย คือ เลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation Bleeding) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อตัวอ่อนฝังตัวเข้ากับผนังมดลูก โดยมักจะเกิดขึ้นในช่วง 6-12 วันหลังการปฏิสนธิ ลักษณะของเลือดชนิดนี้คือมีปริมาณน้อยมาก มีสีจาง ๆ ตั้งแต่สีชมพูอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาล และมักจะหยุดไปเองภายใน 1-2 วัน
คุณแม่อาจสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น รู้สึกอ่อนเพลีย คลื่นไส้ คัดตึงเต้านมเล็กน้อย หรืออาจมีอาการปวดท้องน้อยคล้ายปวดประจำเดือน แต่จะไม่รุนแรง
2. เลือดออกสีน้ำตาลหรือแดงสด
หากเลือดที่ออกมามีสีน้ำตาลหรือแดงสด อาจเป็นสัญญาณของ ภาวะแท้งบุตร ซึ่งความรุนแรงจะแตกต่างกันไป โดยอาจมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยพอเปื้อนชั้นใน ไปจนถึงปริมาณมากจนต้องใช้ผ้าอนามัย และอาจมีลิ่มเลือดปนร่วมกับอาการปวดท้องน้อยเหมือนปวดประจำเดือน บางรายหากเสียเลือดมากอาจมีอาการหน้ามืดวิงเวียนได้
โดยทั่วไป ภาวะนี้อาจเริ่มต้นจาก ภาวะแท้งคุกคาม (เลือดออกเล็กน้อย) ซึ่งหากได้รับการรักษาจากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญอย่างทันท่วงทีและเหมาะสม ก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ต่อไปได้ แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการดูแล เลือดจะออกมากขึ้นจนส่งผลให้เกิดการแท้งบุตรโดยสมบูรณ์ในที่สุดค่ะ
3. เลือดออกสีแดงสด
การมี เลือดออกช่องคลอด สีแดงสดอาจเป็นสัญญาณของ การตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ ซึ่งรวมถึง ท้องลม (Blighted ovum) การตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic pregnancy) และ การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก (Molar pregnancy)
ลักษณะของเลือดที่ออกจะแตกต่างกันไปตามความผิดปกติ แต่ส่วนใหญ่มักมีเลือดออกเป็นสีแดงสดและมีอาการปวดท้องร่วมด้วย หากเป็นการตั้งครรภ์นอกมดลูก คุณแม่อาจรู้สึกปวดท้องรุนแรงที่ด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ
การมีเลือดออกจากการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติถือเป็นภาวะที่อันตรายและต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยคุณหมอผู้เชี่ยวชาญทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นเลือดออกสีใดหรือปริมาณมากน้อยแค่ไหน หากคุณแม่รู้สึกไม่สบายใจ ควรไปพบคุณหมอที่ดูแลครรภ์คุณแม่เพื่อตรวจดูอาการให้แน่ใจและรับการดูแลอย่างเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์นะคะ

อาการเลือดออกช่องคลอดแบบไหนที่ต้องไปพบคุณหมอทันที
เมื่อคุณแม่มีภาวะเลือดออกช่องคลอดขณะตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะในปริมาณที่น้อยหรือมาก ก็ควรเข้ารับการตรวจจากคุณหมอเพื่อความปลอดภัยเสมอ แต่หากพบอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ขอให้คุณแม่รีบไปพบแพทย์ทันทีโดยไม่ลังเลนะคะ
- เลือดออกเป็นสีแดงสดในปริมาณมาก หรือมีเลือดออกอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
- มีลิ่มเลือดหรือเนื้อเยื่อ ออกมาปนกับเลือด
- ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง ปวดบิด ปวดหน่วง หรือปวดร้าวไปถึงบริเวณหลัง
- มีอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ ใจสั่น หรือรู้สึกอ่อนเพลียผิดปกติ
- มีไข้ หนาวสั่น หรือมีของเหลวอื่น ๆ ไหลออกจากช่องคลอดร่วมด้วย
อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าอาจมีภาวะผิดปกติร้ายแรงเกิดขึ้น การไปโรงพยาบาลพบคุณหมออย่างทันท่วงทีจะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยและการดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ค่ะ
เจาะลึก "ภาวะแท้งคุกคาม" สาเหตุ อาการ และกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวัง
ภาวะแท้งคุกคาม (Threatened abortion) คือสัญญาณเตือนที่เกิดขึ้นในช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ โดยส่วนใหญ่อาการที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุดคือ มีเลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งเลือดสดหรือมูกเลือดร่วมด้วย และอาจมีอาการปวดท้องน้อยหรือปวดหลังร่วมด้วยเล็กน้อย ที่สำคัญคือปากมดลูกยังไม่เปิดขยายค่ะ
สาเหตุของภาวะแท้งคุกคาม เกิดจากอะไรได้บ้าง?
ภาวะนี้อาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากตัวคุณแม่เองและตัวทารกในครรภ์ เช่น
- ความผิดปกติของทารกในครรภ์: เช่น ความผิดปกติของโครโมโซม หรือความพิการแต่กำเนิด
- ปัญหาจากตัวคุณแม่เอง: เช่น โรคประจำตัวที่คุมอาการได้ไม่ดี อย่างเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง
- อายุของคุณแม่: หากคุณแม่มีอายุน้อยเกินไปหรือมากเกินไปก็มีผลต่อระดับฮอร์โมนที่สำคัญต่อการตั้งครรภ์ได้
- ความผิดปกติของมดลูก: เช่น มดลูกมีรูปร่างผิดปกติแต่กำเนิด หรือมีพังผืดในโพรงมดลูก
- ปัจจัยอื่น ๆ: เช่น ความเครียด การประสบอุบัติเหตุ หรือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
- ความผิดปกติจากฝ่ายชาย: เช่น ปัญหาเรื่องกลุ่มเลือดหรืออสุจิ
อาการของภาวะแท้งคุกคามที่ควรสังเกต
อาการหลัก ๆ ที่บ่งชี้ถึงภาวะแท้งคุกคามคือการมีเลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งเลือดสีสดหรือเป็นมูกเลือดปนออกมาเล็กน้อย พร้อมกับอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ (ไตรมาสแรก) พบว่าคุณแม่ประมาณ 20-30% อาจมีอาการเลือดออกได้ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้นำไปสู่การแท้งบุตรจริง ๆ และพบว่ามีเพียงประมาณ 12% เท่านั้นที่แท้งจริง
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อคุณแม่พบว่ามีอาการผิดปกติ ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม โดยเฉพาะหากมีเลือดออกทางช่องคลอด ควรรีบไปพบคุณหมอทันที เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและวางแผนการดูแลรักษาได้อย่างทันท่วงทีนะคะ
กลุ่มเสี่ยงภาวะแท้งคุกคาม
หากคุณแม่กำลังตั้งครรภ์และจัดอยู่ในกลุ่มนี้ ควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษและปรึกษาคุณหมออย่างใกล้ชิดค่ะ
- คุณแม่ที่อายุมาก: หากคุณแม่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงในการตั้งครรภ์และเกิดภาวะแท้งคุกคามได้มากกว่าคุณแม่ที่อายุน้อยกว่า
- คุณแม่ที่มีประวัติการแท้งบุตรมาก่อน: การเคยมีประวัติการแท้งบุตร ทำให้การตั้งครรภ์ครั้งถัดไปมีความเสี่ยงสูงขึ้น
- คุณแม่ที่มีปัญหาสุขภาพ:
- ภาวะอ้วน: น้ำหนักตัวที่มากเกินไปส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนและกระบวนการตั้งครรภ์
- โรคเบาหวานและไทรอยด์: หากคุมอาการของโรคได้ไม่ดี จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะแท้งคุกคามได้ง่ายขึ้น
- ความเครียดและการติดเชื้อ: ทั้งสองปัจจัยนี้ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพครรภ์
การดูแลตัวเองเมื่อเกิดภาวะแท้งคุกคาม
หากคุณแม่กำลังเผชิญกับภาวะแท้งคุกคาม สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเองอย่างใกล้ชิดและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดค่ะ
- พักผ่อนให้มากที่สุด: งดกิจกรรมที่ต้องใช้แรงทุกอย่าง ทั้งการทำงานหนัก การยกของหนัก หรือการเดินและยืนนาน ๆ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารครบ 5 หมู่ และที่สำคัญคือต้องงดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด
- งดการมีเพศสัมพันธ์: ในช่วงที่มีเลือดออก ควรหยุดการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับครรภ์
- สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด:
- ปริมาณเลือด: หากเลือดที่ออกมีปริมาณน้อยลงเรื่อย ๆ จนหยุดไปในที่สุด ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่หากเลือดออกมามากขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- สีของเลือด: เลือดสีดำหรือสีน้ำตาลเข้มบ่งบอกว่าเป็นเลือดเก่าที่ค้างอยู่ ซึ่งไม่น่ากังวลเท่าไรนัก แต่หากมีเลือดสีแดงสด นั่นอาจเป็นเลือดใหม่ที่กำลังลอกตัวหลุดออกมา ซึ่งต้องรีบไปพบคุณหมอทันที
- อาการปวดท้อง: หากมีอาการปวดท้องน้อยแบบบีบ ๆ เหมือนปวดประจำเดือน ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดี เพราะมดลูกอาจกำลังบีบตัวและอาจส่งผลกระทบต่อถุงน้ำคร่ำได้
หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น อย่าลังเลที่จะไปพบคุณหมอเพื่อตรวจวินิจฉัยและรับคำแนะนำที่ถูกต้องนะคะ
วิธีป้องกันและดูแลตัวเอง เพื่อลดความเสี่ยงภาวะแท้งคุกคาม
การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงภาวะแท้งคุกคามค่ะ
- ฝากครรภ์ทันที: เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ ควรรีบไปฝากครรภ์โดยเร็วที่สุด เพื่อให้คุณหมอได้ตรวจสุขภาพและวางแผนการดูแลครรภ์ได้อย่างเหมาะสม
- ให้ประวัติสุขภาพอย่างละเอียด: คุณแม่ควรแจ้งประวัติการผ่าตัดที่เกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น การผ่าตัดมดลูกหรือรังไข่ รวมถึงโรคประจำตัวต่าง ๆ ให้คุณหมอทราบ เพื่อช่วยในการวางแผนการรักษาต่อเนื่องอย่างถูกต้อง
- ตรวจเช็กสุขภาพเชิงลึก: ในบางกรณี คุณหมออาจแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติม เช่น การเจาะเลือดเพื่อหาความผิดปกติของฮอร์โมน หรือการตรวจโครโมโซมของทารกหากมีประวัติความเสี่ยง
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง: ควรระมัดระวังและป้องกันโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ได้
การดูแลตัวเองอย่างใกล้ชิดและปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอจะช่วยให้คุณแม่มั่นใจและคลายความกังวลใจลงได้มากค่ะ
เคล็ดลับดูแลครรภ์ให้แข็งแรงสมบูรณ์
สำหรับว่าที่คุณแม่ทุกคนที่กำลังดูแลเจ้าตัวเล็กในครรภ์ การเตรียมพร้อมและใส่ใจดูแลตัวเองเป็นพิเศษจะช่วยให้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ไปจนถึงวันคลอดค่ะ
1. เตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ
การตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ช่วยให้คุณพ่อและคุณแม่ได้วางแผนและรู้ความเสี่ยงต่าง ๆ ล่วงหน้า นอกจากนี้ควรทานโฟลิกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ไปจนถึงช่วงให้นมบุตร เพื่อป้องกันภาวะความผิดปกติของระบบประสาทในทารก
2. ฝากครรภ์เร็ว
เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ ควรไปฝากครรภ์ก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ เพราะจะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยภาวะผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว เช่น ท้องนอกมดลูก หรือภาวะต่าง ๆ ที่อาจทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอด
3. ไปตามนัดและปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์
การไปตรวจครรภ์ตามนัดทุกครั้งเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้คุณหมอได้ติดตามสุขภาพของคุณแม่และลูกน้อยได้อย่างใกล้ชิด
4. รับประทานอาหารครบ 5 หมู่
เน้นอาหารที่มีประโยชน์และวิตามินเสริมที่จำเป็นสำหรับคนท้อง เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม และไอโอดีน ตามคำแนะนำของคุณหมอ
5. รับวัคซีนที่จำเป็น ตามคำแนะนำของแพทย์
การฉีดวัคซีนเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น บาดทะยัก คอตีบ ไอกรน และไข้หวัดใหญ่ จะช่วยปกป้องทั้งตัวคุณแม่และลูกน้อยจากการติดเชื้อ
6.พักผ่อนให้เพียงพอและจัดการความเครียด
การนอนหลับให้เพียงพอและออกกำลังกายเบา ๆ จะช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพจิตที่ดี ลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้าหลังคลอด และส่งผลดีต่อพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์
7. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกายทั้งของคุณแม่และลูกน้อย และยิ่งสำคัญมากขึ้นในช่วงให้นมบุตรเพื่อช่วยในการสร้างน้ำนมที่มีคุณภาพให้ลูกน้อยได้ทานอย่างเพียงพอใน 6 เดือนแรกหลังคลอดค่ะ
เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และลูกน้อย การเฝ้าระวังและทำความเข้าใจอาการต่าง ๆ โดยเฉพาะ เลือดออกทางช่องคลอดขณะตั้งครรภ์ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณแม่ตัดสินใจไปพบคุณหมอได้อย่างทันท่วงที การดูแลรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยให้คุณแม่คลายความกังวลและได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยตลอดการตั้งครรภ์ค่ะ
นอกจากการดูแลครรภ์แล้ว การให้ลูกน้อยได้ดื่มนมแม่ก็เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสร้างพัฒนาการที่แข็งแรง นมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูก เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิดที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต โดยเฉพาะ แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองและเพิ่มประสิทธิภาพการส่งสัญญาณประสาท นอกจากนี้ยังมี จุลินทรีย์สุขภาพ บี แล็กทิส (B. lactis) ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยแข็งแรง
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
- โปรแกรม Baby Development เช็คพัฒนาการลูกน้อยแต่ละช่วงวัย
- 25 อาการคนท้องแรก ๆ พร้อมอาการเตือนคนเริ่มท้อง 1 สัปดาห์
- ครรภ์เป็นพิษ วิธีสังเกตอาการและแนวทางป้องกันเพื่อสุขภาพแม่และลูก
- คนท้องกินวิตามินซีได้ไหม อันตรายกับลูกในท้องหรือเปล่า
- คนท้องกินชาเขียวได้ไหม อันตรายกับลูกในท้องหรือเปล่า
อ้างอิง:
- เลือดออกขณะตั้งครรภ์ อาการที่คุณแม่ควรรู้, โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
- สัญญาณแรกของการตั้งครรภ์ที่ควรรู้ เลือดล้างหน้าเด็กสีอะไร, โรงพยาบาลพีเอ็มจี
- เลือดออกขณะตั้งครรภ์ เกิดจากอะไร? ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรดี?, WOMAN CARE CLINIC
- ภาวะแท้งคุกคาม (Threatened abortion), คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
- ภาวะแท้งคุกคาม ภาวะอันตรายเกิดได้กับหญิงตั้งครรภ์ทุกคน, โรงพยาบาลนครธน
- ภาวะแท้งคุกคาม … ความเสี่ยงของคุณแม่มือใหม่, โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์
- 10 ข้อควรรู้ ช่วยให้คุณแม่ ๆ มีลูกน้อยสุขภาพแข็งแรง, โรงพยาบาลจอมเทียน
- ดูแลครรภ์ให้ปลอดภัย จากภาวะแท้งคุกคาม, โรงพยาบาลบางปะกอก สมุทรปราการ
- ภาวะแท้งคุกคาม, โรงพยาบาลพญาไท 2
อ้างอิง ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568

คุณแม่ตั้งครรภ์

แม่ผ่าคลอด

ดูแลลูกตามช่วงวัย

ภูมิแพ้ในเด็ก

แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน

พัฒนาการสมองลูกน้อย

การขับถ่ายลูกน้อย

คุณแม่ให้นมบุตร

เครื่องมือตัวช่วยคุณแม่ท้อง พร้อมปฎิทินการตั้งครรภ์

อาหารเด็ก

S-Mom Club

วิดีโอแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

ข้อมูลผลิตภัณฑ์

โปรโมชัน



ความคิดเห็น